วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

I've got lovesick


All I can do is thinking of you day after day,
and keep you in the bottom of my heart.
I know everything that occurs between us.
It reminds me that I can't climb the wall to love and stand by you,
cuz climbing the wall is destroy our relationship.
May I love you quietly forever.

......................

From your handy girl

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไม่ได้เรียกร้องหาความเข้าใจ..เพียงแต่ขอแค่ความจริงใจ

เวลาที่มันผ่านไปแต่ละวัน นับวัน ดูเหมือนมันจะเร็วยิ่งกว่าเครื่องบิน อะไรๆที่มันเคยตกผนึกอยู่ในจิตใจ เคยหลงเหลือไว้เพื่อหล่อเลี้ยงความรู้สึกดีๆ นับวันยิ่งเหือดแห้งลงไปทุกที ยิ่งไม่มีอะไรมาเพิ่มเติม ความว่างเปล่ามันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หันเหลียวมองสิ่งรอบตัว คนรอบตัว ก็ดูแต่ละคนมีความสุขกับโลกของตนเองดี เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจของพวกเขาคงมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยสุขและทุกข์เหมือนกับเรา มันคงไม่แปลกที่ชั้นจะมีอารมณ์นั้นเหมือนกับคนอื่น บางทีโคตรอยากตะโกนออกไปดังๆท่ามกลางผู้คนวุ่นวาย ณ ที่นี้ว่า .. "กูแม่งโคตรเบื่อเสยว่ะสัส กูแม่งอยากจะไปไกลๆเลยว่ะเหี้ย" เหมือนชั้นตามหาอะไรบางอย่าง แต่บางอย่างที่ว่าคงไม่ใช่คนแน่นอน ชั้นไม่อยากจะหวังพึ่งใคร ไม่อยากจะฝากชีวิตไว้กับใคร เพราะที่ผ่านมามันก็เหนื่อยและท้อเต็มที ยิ่งโตยิ่งรู้ว่าสิ่งที่ต้องการในโลกความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่าคนๆนึงที่ใครหลายคนพยายามยกย่องให้มันเป็นเรื่องสุดยอดของชีวิต แต่สำหรับชั้นมังคงเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งในชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง.. ชั้นตระหนักอยู่เสมอ และเมื่อเวลาเจอปัญหาที่มักมาจากผู้คนที่ทำให้เกิดอาการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "ผิดหวัง" ชั้นจะบอกตัวเองเสมอว่า "เราเกิดมาคนเดียว เราก็ตายคนเดียว อย่าไปให้ความหวัง อย่าไปยึดติด" ทุกวันนี้จึงเสมือนว่าสิ่งที่ตามหาจึงเป็นเพียง "คุณภาพชีวิตที่ดี หรือชีวิตที่มีคุณภาพ" ซึ่งหน้าตาของมันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวตน อยู่ไกล.. แต่ชั้นก็เรียกร้องและกำลังตามหามันอยู่ตลอดเวลา ในความรู้สึกของชั้นมันเป็นเหมือนชีวิตที่มั่นคงและให้ความมั่นใจต่อตนเองและครอบครัว อาจจะไม่ใช่แค่มีเงิน มีงาน.. แต่ทุกอย่างของคำว่าชีวิตที่มีคุณภาพมันจะต้องดำเนินไปด้วยความรัก ความเต็มใจที่จะอยู่ เต็มใจที่จะทำ เต็มใจและภูมิใจเท่านั้น.. ไม่รู้ว่าวันไหนชั้นจะได้เจอมันสักที.. กว่าจะเจอวันนั้นชั้นอาจกลายเป็นยายแก่ทึนทึกนั่งบวชชีอยู่ในวัดก็ได้ เหมือนเจอความสงบของชีวิต.. เคยรู้สึกไหมว่า เวลาเราเข้าวัด ซึ่งอาจจะเป็นบางวัด เมื่อเราเดินเข้าไปรู้สึกว่ามันเย็นไปหมด ร่มเย็นจนแทบไม่อยากจะเดินออกมาจากวัดนั้น แต่บางวัดก็รู้สึกเฉยๆ บางวัดกลับรู้สึกร้อน เหมือนชั้นจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี มันเหมือนกับว่า วัดไหนเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากความเอื้ออำนวยจากชาวพุทธด้วยใจจริง วัดนั้นจะแฝงไปด้วยบรรยาศที่ร่มเย็น แต่หากวัดไหนที่รก ร้าง ร้อน และว่างเปล่า วัดนั้นอาจเต็มไปด้วยปัญหาและแฝงไปด้วยความชังของจิตใจคน ซึ่งบางครั้งความศรัทธาเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่าจะเดินเข้าวัดไหน.. เรื่องราวหลายๆอย่างมันทำให้ชั้นเข้าใจว่าคนหรือมนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุด น่ากลัวกว่างู โหดร้ายกว่าเสือ ทำร้ายทารุณยิ่งกว่าจระเข้.. น่ากลัวจนทำให้ชั้นอยากจะเข้าวัดเลยทีเดียว มันน่าขำ! ตอนเด็กเคยฟังวิทยุในรถ มีพระท่านหนึ่งเทศน์ว่า "หากคนบนโลกถือศีลเพียงข้อเดียวคงจะดี นั่นก็คือ การรักผู้อื่น" ฟังดูง่ายนะ ศีลข้อเดียวเอง ถ้าทำได้คงเกิดประโยชน์มหาศาล เพราะถ้าเรารักผู้อื่น เราคงไม่มีวันทำในสิ่งที่ผิดพลาด เราคงไม่ทำอะไรให้เกิดความขุ่นเคืองทั้งทางกาย วาจา ใจ สมมติถ้าเรามีศัตรูแต่เราถือศีลว่ารักผู้อื่น เราก็จะไม่อาฆาตเขา วันนึงศัตรูคงเปลี่ยนเป็นมิตรได้ และถ้าเราอยากจะฆ่าสัตว์แต่เราถือศีลรักผู้อื่น เราก็จะไม่ฆ่ามันเพราะเรารักมัน.. แต่.. ใครแม่งจะทำได้วะ เฮ้อ..คิดแล้วก็เพลีย!! โลกนี้มันน่ากลัวเพราะคนนี่แหละ ปัญหาทุกอย่างมันมาจากคน สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกใครที่เป็นคนว่า "พวกมึงไม่ต้องเข้าใจหรือทำเป็นเข้าใจเหี้ยไรมากนักหรอก แค่อยู่แบบจริงใจแม่งก็คงพอแล้ว ทำเหี้ยไรด้วยความจริงใจต่อกันอ่ะ ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องตอแหลต่อกันก็พอ" ----- คำว่ารักมันคงไม่มีความหมายถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

Life is a Journey



Life is a journey filled with lessons, hardships, heartaches, joys, celebrations and special moments that will ultimately lead us to our destination, our purpose in life. The road will not always be smooth; in fact, throughout our travels, we will encounter many challenges.


Some of these challenges will test our courage, strengths, weaknesses, and faith. Along the way, we may stumble upon obstacles that will come between the paths that we are destined to take. In order to follow the right path, we must overcome these obstacles. Sometimes these obstacles are really blessings in disguise, only we don't realize that at the time.


Along our journey we will be confronted with many situations, some will be filled with joy, and some will be filled with heartache. How we react to what we are faced with determines what kind of outcome the rest of our journey through life will be like.


When things don't always go our way, we have two choices in dealing with the situations. We can focus on the fact that things didn't go how we had hoped they would and let life pass us by, or two, we can make the best out of the situation and know that these are only temporary setbacks and find the lessons that are to be learned.


Time stops for no one, and if we allow ourselves to focus on the negative we might miss out on some really amazing things that life has to offer. We can't go back to the past, we can only take the lessons that we have learned and the experiences that we have gained from it and move on. It is because of the heartaches, as well as the hardships, that in the end help to make us a stronger person.


The people that we meet on our journey, are people that we are destined to meet. Everybody comes into our lives for some reason or another and we don't always know their purpose until it is too late. They all play some kind of role. Some may stay for a lifetime; others may only stay for a short while.


It is often the people who stay for only a short time that end up making a lasting impression not only in our lives, but in our hearts as well. Although we may not realize it at the time, they will make a difference and change our lives in a way we never could imagine. To think that one person can have such a profound affect on your life forever is truly a blessing. It is because of these encounters that we learn some of life's best lessons and sometimes we even learn a little bit about ourselves.


People will come and go into our lives quickly, but sometimes we are lucky to meet that one special person that will stay in our hearts forever no matter what. Even though we may not always end up being with that person and they may not always stay in our life for as long as we like, the lessons that we have learned from them and the experiences that we have gained from meeting that person, will stay with us forever.


It's these things that will give us strength to continue on with our journey. We know that we can always look back on those times of our past and know that because of that one individual, we are who we are and we can remember the wonderful moments that we have shared with that person.


Memories are priceless treasures that we can cherish forever in our hearts. They also enables us to continue on with our journey for whatever life has in store for us. Sometimes all it takes is one special person to help us look inside ourselves and find a whole different person that we never knew existed. Our eyes are suddenly opened to a world we never knew existed- a world where time is so precious and moments never seem to last long enough.


Throughout this adventure, people will give you advice and insights on how to live your life but when it all comes down to it, you must always do what you feel is right. Always follow your heart, and most importantly never have any regrets. Don't hold anything back. Say what you want to say, and do what you want to do, because sometimes we don't get a second chance to say or do what we should have the first time around.


It is often said that what doesn't kill you will make you stronger. It all depends on how one defines the word "strong" It can have different meanings to different people. In this sense, "stronger" means looking back at the person you were and comparing it to the person you have become today. It also means looking deep into your soul and realizing that the person you are today couldn't exist if it weren't for the things that have happened in the past or for the people that you have met. Everything that happens in our life happens for a reason and sometimes that means we must face heartaches in order to experience joy.


--- Copyright © 2000 Shannon Spaunburg


Reference : http://www.motivateus.com/stories/journey.htm

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

วันเกิดครั้งที่ 23

วันนี้เป็นวันปกติเหมือนทุกๆวัน..แต่มีผลทางจิตใจสำหรับคนธรรมดาคนนึง นี่มันเป็นวันคล้ายเกิดของฉัน ฉันเกิดวันพฤหัสที่ 8 กันยายน พ.ศ.2531 แล้ววันนี้คือวันพฤหัสที่ 8 กันยายน พ.ศ.2554 รอหลายปีกว่ามันจะเป็นวันที่ตรงกันขนาดนี้... แต่ก็เป็นปกติเหมือนเช่นเคย แถมตั้งใจจะทำอะไรดีๆบางอย่างก็ยังพลาดไปเสียอีก.. แต่ก็ช่างเหอะ!! วันนี้มันกำลังจะผ่านไปกลายเป็นวันอื่นที่ไม่ได้มีผลทางจิตใจ อยากขอบคุณทุกคนทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจสำหรับการส่งคำอวยพรต่างๆนาๆที่สรรหากันมามากมาย ขอให้พรเหล่านั้นกลับคืนสู่ตัวพวกคุณเองด้วย ขอให้ทุกเรื่องที่เลวร้ายผ่านไปกับปีเก่าๆ แต่ฉันก็คงห้ามไม่ให้เรื่องเลวร้ายเข้ามาในปีใหม่ๆอีกไม่ได้... วันนี้ ถึงจะเป็นวันที่อึมครึมปนเศร้า เหงาๆ ตามประสาคนธรรมดาอย่างฉัน แต่ก็ยังได้เจอเรื่องที่ประทับใจอยู่บ้าง เรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีๆอย่างบอกไม่ถูก เริ่มตั้งแต่เวลา 00.01 ของวันพฤหัสที่ 8 กันยา 2554.. ฉันก็ได้มีช่วงเวลาที่ได้ปลดปล่อยกับเขาบ้าง อันที่จริงมันเริ่มตั้งแต่ช่วงหัวค่ำของวันพุธที่ 7 ชั้นไปหาไรกินกับน้องๆที่รักคือ วิน เฟิร์น โอ๊ต...เสร็จก็ไปดูหนังต่อข้ามคืนจนล่วงเลยมาเกือบตีหนึ่งของวันพฤหัสที่ 8 กันยายน... ขอบคุณที่มีช่วงเวลานี้ให้กัน มันคงไม่ได้เป็นโอกาสพิเศษหรือโอกาสสำคัญอะไร แต่มันทำให้ฉันรู้สึกลึกๆว่า คนรอบข้างที่มีชีวิตประจำวันร่วมกันก็แบ่งปันความสุขให้กันได้ แค่คำพูดไม่กี่คำมันก็ทำให้รู้ว่าน้องๆมีความตั้งใจอยากจะทำให้ฉันมีช่วงเวลาที่ดีและมีความสุข ขอบคุณน้องๆทุกคนที่มอบเวลาดีๆให้แก่กัน สร้างบรรยากาศที่น่าจดจำสำหรับคืนนั้น... พอรุ่งเช้ามาเป็นวันเกิดที่ตื่นไม่ทันใส่บาตร... เฮ้อ ก็กลับซะดึกขนาดนั้น กว่าจะได้นอนล่อไปตีสาม... แต่วันนี้ก็เป็นวันที่ต้องไปทำธุระแถวคลองเตย คือไปสมัครสอบการท่าเรือแห่งประเทศไทย ให้ตายเถอะ ไกลมาก..แต่ดีนะที่ติดรถเฟิร์นไปลงแถวตลาดคลองเตย ต้องรอรถเมล์เพื่อนั่งไปลงแถวกรมศุลกากร แต่รอเท่าไหร่รถเมล์ก็ไม่มา.. ระหว่างยืนรอ สังเกตเห็นยายแก่คนนึง แต่งตัวโสมม ถือถุงคล้ายกระสอบ ท่าทางดูสกปรก แต่ก็ดูเป็นคนปรกติดี คงไม่ใช่คนบ้า แต่คนที่ยืนรอรถเมล์ด้วยกันก็มีท่าทางไม่อยากเข้าใกล้ยายคนนั้น ยายแกมารอรถเมล์เหมือนกับคนอื่นๆ แต่พอรถเมล์มาคันที่ยายแกจะขึ้นมาจอด  จำไม่ได้ว่าสายอะไร ยายแก่คนนั้นกำลังจะก้าวเท้าขึ้น รถเมล์ก็ออกตัวไปเสียแล้ว คือไม่รอยายแก่คนนั้นเลย เห็นแล้วน่าหดหู่มาก ทั้งๆที่ทั้งคนขับและกระเป๋ารถเมล์ก็เห็นว่ายายแกกำลังจะก้าวขึ้น แต่กลับออกรถหนีไปซะงั้น.. ยายแกไม่พอใจ ปากบ่นพึมพำแล้วก็เดินมารอที่เดิม อยู่ๆก็มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับยาย ถามว่ายายจะไปไหน? ไปรถสายอะไร? เดี๋ยวยายไปพร้อมหนู.. หนูก็จะไปเหมือนกัน..คุยกันประมาณนี้...ฉันไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ สักพักรถเมล์คันที่นักศึกษาคนนั้นกับยายจะขึ้นก็มาถึง นักศึกษาสาวถือถุงกระสอบให้ยาย แล้วช่วยพยุงยายขึ้นรถเมล์คันนั้นไปอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์.. มันช่างเป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจและสอนอะไรฉันหลายๆอย่าง.. ฉันไม่รู้ว่านักศึกษาคนนั้นเรียนที่ไหน แต่รู้ว่าเธอเป็นผู้ที่มีจิตใจงดงามอย่างมาก งดงามอย่างไม่ต้องดูหน้าตา ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเธอหน้าตาอย่างไรเพราะว่าเห็นไม่ถนัด แต่เธอคือเยาวชนที่มีคุณค่า ฉันยกย่องและชื่นชมน้ำใจที่แสนประเสริฐของเธอผู้นี้จริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า.."ประเทศเรายังมีเยาวชนที่ดี กุลสตรีที่ดี ยังมีคนรุ่นใหม่ที่มีคุณธรรม จริยธรรมสูงส่งอยู่บ้าง และสอนให้ฉันรู้ว่าการทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือการช่วยเหลือคนอื่นด้วยความเต็มใจอย่างไม่ประสงค์สิ่งใดกลับคืนมันสร้างความสุขให้แก่ตนเองและคนรอบข้างมากมายอย่างที่คาดคิดไม่ถึงขนาดนี้..." เฮ้อ!! เรื่องเล็กน้อยรอบตัวเรามันจะมีคุณค่าแก่การจดจำหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองจริงๆ.. หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านไป ฉันก็เลยตัดสินใจไม่รอรถเมล์ นั่งพี่วินไปแม่งเลย... กว่าจะได้สมัครสอบเสร็จก็ล่อไปเกือบสามโมง พอดีมีเหตุติดขัดก็เลยนานไปหน่อย.. แต่เหนื่อยมากจริงๆ คนมาสมัครตั้งเยอะ เกือบสองพันคน แต่รับแค่สี่คน ค่าสมัครสอบก็แพง หมดไปเกือบสี่ร้อย เหมือนเอาเงินมาทิ้งเลย.. เฮ้อ! โอกาสสอบติดมองไม่เห็นเลย แต่ก็น่าจะได้ประสบการณ์ เงินไม่ตายก็หาใหม่ได้ บางประสบการณ์เงินก็ซื้อไม่ได้... ฉันนั่งรถกลับบ้านด้วยความอ่อนล้าและเพลียอย่างบอกไม่ถูก คิดไว้ว่าก่อนกลับบ้านจะแวะถวายสังฆทานที่วัดหัวลำโพง แต่ก็ไม่ได้ทำ เพราะฝนตกหนักมาก เหนื่อยจริงๆวันนี้ ฝนตก  รถติด น่าเบื่อจริงๆ!! จริงๆวันนี้มีนัดกับเพื่อนที่อนุเสาวรีย์แต่ก็ไม่ได้ไป มันเหนื่อยจริงๆ ฝนก็ตก ไม่รู้จะรอตรงไหน กว่าเพื่อนจะเลิกงานอีก แต่ก็อย่างว่า..อธิบายไปก็ไม่เข้าใจ ต่างคนก็ต่างความคิด ต่างเหตุผล เราไปไม่ได้ก็เลยกลายเป็นว่าเราไม่อยากไปซะงั้น.. คิดแล้วก็เสียความรู้สึก วันเกิดทั้งทีแทนที่จะมีกำลังใจ หรือเจอเรื่องดีๆกลายเป็นว่าเราต้องมาปวดกบาลกับเพื่อนที่เราคิดว่าจะเข้าใจและรับฟังเหตุผลได้ดีที่สุด.. คนเรามีเหตุผลแต่ถ้าไม่มีใครฟังมันก็เหมือนไม่มี.. ช่างแม่งมันเหอะ! ใครอยากจะคิดอยากจะตีความอะไรก็ตามสบาย ปากบอกเข้าใจ รู้ รับฟัง รับทราบ แต่ดูผลที่ฉันได้รับสิ..นี่หรอ ของขวัญวันเกิดจากเพื่อนๆที่ฉันรัก.. ซึ้งใจจริงๆ ขอบใจมากๆ ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ในวันเกิด..!! เกิดมา 23 ปี แต่มีเพื่อนดีจริงไม่ถึง 23 คน... ฉันควรพิจารณาตัวเองไหม? บางทีก็อยากมีเพื่อนแค่คนเดียว บางทีก็อยากมีเพื่อนสักพันคน.. ลืมมันเสียเถอะ... ไม่น่าเอาเรื่องเพื่อนมาพูดในวันเกิดเลยว่ะ ลืมไปเลยว่าคนที่รักเราโดยไร้ข้อกังขาใดๆก็มีแต่พ่อกับแม่.. แต่วันนี้ก็บอกพ่อกับแม่ไปแล้วว่ารักพ่อกับแม่มากแค่ไหน ขอบคุณพ่อกับแม่มากที่ทำให้หนูเกิดมาและเลี้ยงดูหนูเป็นอย่างดี.. พ่อแม่ให้ชีวิตหนู ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง.. ไม่มีอะไรเหนือพ่อกับแม่แล้ว หนูไม่ต้องการการสังสรรค์หรือของขวัญอะไรแล้วตั้งแต่หนูเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ พ่อกับแม่ให้หนูมามาก นับมูลค่าเป็นเงินไม่ได้.. มาจนถึงวันนี้หนูควรจะเป็นผู้ดูแลและทำให้พ่อกับแม่มีความสุขสบายบ้าง.. หนูสัญญาว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ ชีวิตหนูจะไม่ให้ใครนอกจากพ่อแม่.. หนูอาจดีไม่เท่าคนอื่น อาจเก่งไม่เท่า อาจรวยไม่เท่า..แต่หนูรักพ่อกับแม่ของหนูไม่แพ้ใครอื่นใด หนูคงไม่บอกอะไรมากมายแต่ขอให้หนูได้ทำต่อไปเรื่อยๆ.. บรรยายมาจนถึงตอนนี้ก็กลายเป็นวันอื่นที่ไม่ได้มีผลทางจิดใจเสียแล้ว ไม่ใช่วันพฤหัสที่  8 กันยา แล้ว..ต่อจากนี้ต้องรออีก 1 ปี กว่าวันที่มีผลทางจิตใจจะเดินทางมาบรรจบ.. คงต้องกล่าวอำลากันไปเพียงเท่านี้ วันเหงาๆ เศร้าๆ อึมครึม กำลังจะผ่านไป.. สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับหลายๆคนที่ยังคิดถึง ยังเป็นห่วง ยังมีความจริงใจ ยังรัก และรับรู้ รับฟังว่าความรู้สึกของฉันในวันนี้มันไม่โอเค ทั้งที่มันควรจะโอเคและแฮปปี้มากกว่าที่ควรจะเป็น ^^  HAPPY BIRTHDAY TO ME .:i:. 

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สิ่งที่มันบั่นทอนจิตใจ...



ไม่มีอะไรจะทำร้ายจิตใจคนเราได้นอกจาก "การกระทำ" และ "คำพูด" 
บางครั้งเราตั้งใจทำดี แต่มันคงยังดีไม่พอ..
บางครั้งเราทุ่มเท พยายาม ใส่ใจ แต่มันก็ยังไม่ถึงที่สุด..
จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าเราทำอะไรบ้าง หรือบางทีอาจไม่มีใครรู้เลย..
เหนื่อยนะ..ท้อนะ..แต่เมื่อลมหายใจยังมี มันก็คงต้องสู้ต่อไป..
ฉันไม่ได้มีกระจกทวิภพที่จะสามารถกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้..
แต่ถ้า่จะมีใครคิดว่าที่ผ่านมามันยังไม่ดีพอ..ฉันคงพูดได้แค่ว่าเสียใจ..
คุณอาจจะทำอะไรได้ดีกว่าฉันหลายอย่าง..ฉันคงไม่เถียง
คุณอาจจะมีอะไรที่่เพียบพร้อมและเกื้อหนุนคุณหลายอย่าง..ฉันคงไม่สู้
แต่คุณช่วยมองดู "การกระทำ" และ "คำพูด" ของคุณว่ามันเหมาะสมหรือไม่
ทำไมไม่มองในสิ่งที่คุณทำไม่ได้..แต่มีคนอื่นที่ทำได้..
คุณมีความดี ความเก่ง และอยู่เหนือคนอื่น..คุณจึงคิดว่าคุณจะทำหรือพูดอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?


สำหรับคนที่อยู่ระดับล่างกว่า พวกเขาก็มีหัวใจ มีความรู้สึก..
สิ่งที่คุณทำและพูดมันบั่นทอนจิตใจคนอื่นจนป่นปี้..
เหมือนคุณเอาค้อนมาตอกตะปูไว้ที่ใจคนอื่น..
แล้ววันหนึ่งคุณคิดว่ามันผิด..คุณก็มาถอนตะปูนั้นออกไป..
แต่คุณจะรู้หรือสังเกตบ้างไหมว่ารอยตอกของตะปูมันยังอยู่..อย่างที่ไม่อาจแก้ไขได้


มันคงไม่มีทางลืม..เจ็บก็จำ..ถึงทำก็ไม่ได้ดี..เป็นแค่ธุลีที่โรยในสายธาร..


ร้องไห้ดั่งสายฝนก็ไม่อาจชำระความโศกเศร้าในใจ..


ได้แค่ทิ้งคำลงท้ายไว้ว่า "เจ็บเหลือเกิน"

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Mother's Day...for Mom

ฉันอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมแม่ถึงไม่เคยทำสิ่งที่ไม่ดีให้ลูกเห็นเลย.. ฉันไม่รู้ว่าแม่เคยทำผิดอะไรมาบ้าง แต่ที่ผ่านมา ฉันกล้าพูดว่าแม่ไม่เคยตัดสินใจผิดพลาด แม่เลี้ยงลูกสองคนมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย แต่แม่ก็เลี้ยงของแม่เอง ไม่เคยให้ลูกต้องตกอยู่ในมือของคนอื่น.. ถึงแม้ว่าในตอนที่ลูกทั้งสองยังเด็ก แม่จะให้ลูกๆไปอยู่ในการเลี้ยงดูของกง แม่ใหญ่ และป้า แต่แม่ก็ส่งเสียและกลับมาหาลูกทุกอาทิตย์ไม่เคยบกพร่อง พอเกิดมาได้สามขวบ แม่ก็เอาลูกๆของแม่มาเลี้ยงเองในกรุงเทพฯ เมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และไร้ความสงบ แต่เพื่อการศึกษาที่ดีของลูก แม่ก็ต้องหอบลูกมาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แต่ก็ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ และไม่เคยมีอะไรด้อยไปกว่าลูกคนอื่น แม่ทำงานเหมือนกับพ่อ แม่เป็น Working Women แต่แม่ก็ดูแลทุกอย่างในบ้านเอง แม่ทำงานหนักแต่แม่ไม่เคยแสดงความท้อแท้กับงานที่แม่ทำ.. แม่บอกลูกๆเสมอว่าให้ตั้งใจเรียน อนาคตจะได้ไม่ลำบาก นี่คงเป็นคำสอนที่พ่อแม่มักสอนลูก ไม่ว่าบ้านไหนก็สอนให้ลูกเป็นอย่างนี้.. ทุกคำสอนของแม่มันตราตรึงอยู่ในหัวสมองของฉัน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็จำคำสอนเหล่านั้นไว้ เผื่อวันนึงไม่มีใครสอนฉันแล้ว ไม่มีใครดูแล เลี่ยงดู ด่าว่าฉันแล้ว แต่สิ่งที่จะเหลือไว้ให้ติดตัวไปกับฉันโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะสามารถขโมยมันไปได้ก็คือ "คำสอนของแม่" แม้ว่าวันนี้ฉันอาจยังไม่ใช่ลูกที่ดีพร้อมและทำตามแม่ได้ทุกอย่าง แต่ฉันก็โตพอที่ตัดสินใจว่าสิ่งใดผิดและถูก และก็ฟันฝ่าอุปสรรคปัญหามาด้วยตนเอง ฉันอาจไม่ได้ปรึกษาหรือบอกแม่ในทุกๆเรื่อง แต่ในเรื่องที่สำคัญฉันก็ไม่เคยละเลยที่จะบอกแม่ แม่ไม่เคยเลี้ยงดูฉันกับน้องแบบเพื่อน แต่แม่ให้ความใส่ใจกับลูกทั้งสองเท่ากัน เพราะแม่คือแม่ ไม่ใช่เพื่อนเล่น แม่ลงโทษฉันกับน้องเมื่อทำผิด และหลายครั้งที่แม่อาจจะเสียใจในการกระทำของเราทั้งสอง แต่เราทั้งสองคงไม่แก้ตัว และได้แต่ตั้งใจที่จะไม่ให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้วทำให้แม่ต้องทุกข์ซ้ำสองอีก ลูกทั้งสองรักแม่เสมอและไม่มีทางมองใครเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตได้ดีไปกว่าแม่แล้ว ไม่ว่าจะวันแม่ปีไหน พรเดียวที่ลูกปรารถนาคืออยากให้แม่อยู่กับลูกทั้งสองไปนานๆ อยู่ดูลูกๆจนเติบใหญ่ ประสบความสำเร็จ เพื่อให้แม่ได้ภูมิใจและมีความสุข และให้เราทั้งสองได้ดูแลแม่ให้หายเหนื่อย ไม่ใช่เพียงเพื่อทดแทนบุญคุณ แต่มันเป็นหน้าที่ที่ลูกทั้งสองต้องทำ... 

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554

Emotion like this

เมื่อก่อนฉันคิดว่าการเอาแต่ใจตนเองคือการแสดงความเป็นตัวตนที่แท้จริง

และเอาแต่ใจตนเองเพื่อให้คนอื่นรับเราได้..โดยเฉพาะครอบครัว

จนบางครั้ง..ก็ยังรู้สึกว่าอากัปกิริยาของฉันนั้นกำลังทำลายความรู้สึกของใครหลายๆคน

จะมีใครบ้างเข้าใจความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา

ไม่มีใครแคร์หรอก เพราะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนมีแต่ไม่เหมือนกัน

ฉันมองเห็นใครหลายๆคนมีโอกาสที่ดีกว่าฉัน และใครหลายคนก็ยังด้อยกว่า

แต่คนที่พอดีหรืออยู่ในสถานะเดียวกับเรามักหายาก..

กรอบอันจำกัดของชีวิตมันบีบคั้นให้ฉันต้องมองอะไรต่างมุม

วันนี้..ความเอาแต่ใจตนเองเปรียบเสมือนดาบสองคน

ขณะที่มันทำให้เรารู้ว่าใครเข้าใจและแคร์เรา..ในทางกลับกันมันก็ส่งความรู้สึกที่ไม่ดีต่อคนที่ไม่เข้าใจ

จะแคร์ทำไม..ประโยคนี้บอกครั้งที่สองแล้วนะ

ทุกคนคงเป็นเหมือนกัน..มักมองว่าตนเองถูกต้อง ตนเองดีเลิศประเสริฐศรีที่สุด

อย่าเถียงว่าคุณไม่เป็น.. จะมากจะน้อยก็ขึ้นอยู่กับกำพืดของแต่ละคน

ดังนั้น เมื่อวันเวลาผ่านไป สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งที่ได้จากวันเวลาคือ..การควบคุม

คุมดี .. ทุกอย่างมันก็ดี แต่สำหรับบางอย่างที่เราควบคุมไม่ได้..มันก็คือตัวแปรแทรกซ้อน

เราคุมตัวเราได้ เราควบคุมอารมณ์เราได้ แต่เราควบคุมคนอื่นหรือสภาพแวดล้อมไม่ได้

ทุกครั้งที่ฉันฟังคนอื่นพูด ฉันก็กลัว..กลัวว่าความคิดมันจะหลุดออกมาเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม

ฉันควบคุมไม่ได้ตลอด..ถ้ามันจะมีทางออก..ทางออกนั้นก็คือไม่พูดเสียเลยดีกว่า

ทุกคนมักเดินตามฝันและมุ่งไปข้างหน้า

มันเป็นสิ่งที่ดี..ที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีเป้าหมาย

แต่จะมีสักกี่คนที่หันกลับมามองข้างหลัง..เพื่อดูรอยเท้าที่ผ่านมาว่าเราก้าวมาไกลถึงไหนแล้ว

เราควรจะหันกลับไปดูรอยเท้าเดิมๆที่เพิ่งผ่านมาบ้าง เพื่อให้รู้ว่าตนเองมีพัฒนาการอย่างไร

หันกลับไปมองสิ่งที่เราเคยเป็น เคยมี เคยอยู่.. หันกลับไปดูคนข้างหลังที่เขายังด้อยกว่า

มองกลับไปและนึกอยู่เสมอว่าเราเคยเป็นอย่างไร..

ไม่มีอะไรทำลายอดีตและความทรงจำได้นอกจากโรคภัยและความแก่ชรา

มาจนถึงวันนี้ ก้าวแต่ละก้าวของฉันมันใหญ่ขึ้น

รอยเท้าทุกรอยยังเต็มไปด้วยเรื่องราว

อรรมณ์ของเมื่อวานกับวันนี้มันก็เปลี่ยนไป

แต่การควบคุมมันก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลายเป็นดาบสองคมคร่าความรู้สึกใคร

และฉันคงต้องควบคุมมันให้ไดมากที่สุด..ไม่ให้เหมือนกับที่ฉันโดนใครใส่อารมณ์เหมือนเช่นวันนี้

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

That thing



WHY I CAN'T DELETE SOMETHING FROM MY HEAD? I WOULD FORGET AND TAKE IT OUT FROM MY MEMMORY. ALTHOUGH IT HAS BEEN A PRECIOUS THING FOR A LONG TIME, BUT I HAVE TO FORGET AND IGNORE IT. IT'S ONLY ONE THING THAT I HAVE..AND NEVER FIND ANOTHER. I REALLY KNOW THE STATUS AND GAP ARE BEING AS USUAL. EVERYDAY I LIVE WITH SUFFERING AND ENDURING. I NEVER SMILE OR LAUGH WITH TRUELY FEELING. ACTUALLY, IT SIMILAR TO FAKE ALL THE TIME COS MY HEART STILL THINK OF THAT THING. I CAN'T STOP TO THINKING AT ALL. I TRY TO MAKE IT BETTER BY HANG OUT WITH FRIENDS OR BE WITH A LOT OF PEOPLE, BUT IT'S WORTHLESS. I'M TIRED WITH BREATHING DAY AFTER DAY. I WANT TO GO SOMEWHERE FOR RELAX, MAYBE IT'S THE WAY TO HELP ME. NOWADAYS I FORCE MYSELF TO HATE THAT THING. SO THAT THING ARE BOTH THE THING THAT I LOVE AND THE THING THAT I HATE IN THE SAME TIME..... DISAPPOINTED!

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คนเคยรัก


สุดสายตา มองไป ใจปวดร้าว
ท้องฟ้าเหงา ทะเลไร้ เสียงคลื่นสาด
น้ำแน่นิ่ง ต้นไม้หยุด ดุจถึงฆาต
หมดสวาท ในรูปรส ชดใช้กรรม

เพราะเมื่อก่อน เคยมีใคร สักคนหนึ่ง
รำพันถึง ชีวิต คิดเพ้อฝัน
ใครคนหนึ่ง ก็คือ เธอคนนั้น
ผู้เติมฝัน ให้ฉัน หวั่นไหวเอน

เธอสอนฉัน ให้รู้จัก ความอ่อนไหว
เธอสอนให้ มีความคิด ประสิทธิ์สาน
เธอนำพา ชีวิต ให้เบิกบาน
และอาจหาญ ดิ้นรน สู้ทนไป

เธอเคียงข้าง ยามฉัน ไร้ที่พึ่ง
คาดไม่ถึง จะมีเธอ อยู่เคียงใกล้
เธอเปรียบดั่ง ต้นไม้ คอยผลิใบ
เป็นที่หลบ พ้นภัย พวกคนพาล

เธอปลอบโยน โอนอ่อน เมื่อร้อนหนัก
เธอปักหลัก รักนี้ มีให้ฉัน
เธอห่วงใย รักใคร่ มีให้กัน
เธอ และ ฉัน สานสัมพันธ์ เมื่อวันวาน

เธอหยิบยื่น โอกาส ที่มีค่า
เธอมองหา สิ่งที่ดี มีให้ฉัน
เธอเคยเห็น ฉันมีค่า และสำคัญ
ฉันจึงผูก สัมพันธ์ กับเธอมา

เพราะเธอคือ ความรัก ที่ยิ่งใหญ่
เพราะเธอคือ ลมหายใจ ที่มีค่า
เพราะเธอคือ ดวงใจ และดวงตา
เพราะเธอคือ มาลา แห่งความดี

เพราะเธอคือ ส่วนหนึ่งของชีวิต
เพราะเธอคือ ความคิด ที่ติดฝัน
เพราะเธอคือ ความคิดถึง ผูกสัมพันธ์
เพราะเธอคือ รักมั่น ที่ฉันมี

เพราะความดี ของเธอ ที่เปลี่ยนฉัน
เพราะความฝัน ของเธอ ที่เติมสี
เพราะความรัก ของเธอ ที่ยอมพลี
เพราะไออุ่น ที่เธอมี ชั่วนิรันดร์

ฉันจึงยอม มอบใจ มิแหนงหน่าย
เพราะรักง่าย ใจซื่อ ไม่ดื้อรั้น
เชื่อใจเธอ ทุกอย่าง ที่รำพัน
ยอมทิ้งฝัน ผันแปร ไม่แคร์ใคร

ทุกๆอย่าง มีให้เธอ ได้เสมอ
พร้อมบำเรอ ความรัก เอาใจใส่
มีให้เธอ ไม่เผื่อแผ่ แก่ใครใคร
หมดหัวใจ ฝากเอาไว้ ให้แค่เธอ

ยอมลำบาก ตรากตำ ทำทุกอย่าง
เพื่อพิสูจน์ หนทาง แห่งรักแท้
ยอมอดทน อดกลั้น เพื่อเปลี่ยนแปลง
จนสิ้นแสง แห่งรัก จากใจเธอ

จากมาลา แห่งความดี เป็นผีบ้า
เป็นหมาป่า ดุดัน ประชันเฉือน
เพราะเหตุใด หัวใจเธอ จึงฟั่นเฟื่อน
มาเชือดเฉือน ความรัก ที่ฉันมี

วันเวลา เปลี่ยนคน เปลี่ยนนิสัย
วันเดือนปี เปลี่ยนใจ ไปจนสิ้น
หรือเพราะรัก ที่จอมปลอม จนชาชิน
หรือเพราะสิ้น คุณค่า หมดเยื่อใย

หรือเจอคน หน้าใหม่ จึงบ่ายหนี
หรือฉันมัน ไม่ดี บอกได้ไหม
หรือฉันมัน งี่เง่า เกินกว่าใคร
หรือฉันมัน ง่ายไป ช่วยบอกที

มาบัดนี้ คุณค่า ฉันมันหมด
เธอไม่จด ไม่จำ ทำเหมือนง่าย
คนแสนดี ของฉัน มันเปลี่ยนลาย
จึงตัดสาย สัมพันธ์ ที่ผูกมา

มาทิ้งคน เคยสนิท คิดไม่ซื่อ
มาลืมชื่อ คนเคยพบ เพียงเพื่อผ่าน
มาเปลี่ยนรัก ที่ฉันมี มาแสนนาน
มาโปรดปราน คนอื่น ชื่นหัวใจ

ฉันเพิ่งรู้ ที่ผ่านมา แค่เสแสร้ง
หรือแค่แกล้ง ทำดี ดูมีค่า
หรือเธอชอบ ของใหม่ ที่แปลกตา
หรือฉันโง่ ฉันบ้า จึงอยากลอง

มันหมดแล้ว ความรู้สึก ที่ตรึงจิต
ดั่งยาพิษ ที่ถูกถอน ยังซ่อนอยู่
แม้จะเกลียด แต่ก็รัก ยังรอดู
ยังยืนอยู่ ที่เดิม ไม่จากไป

เธอจะอยู่ แสนไกล เท่าไหร่นั้น
ไม่สำคัญ เพราะฉัน ยังคิดถึง
ทุกนาที ฉันยังเฝ้า เจ้ารำพึง
ยังหยั่งถึง ความรัก ที่หักไป

ท้องทะเล มันบอก ให้พอที
ท้องฟ้านี้ มันบอก หยุดได้ไหม
ต้นไม้นั้น มันบอก ให้ห้ามใจ
นกที่บิน ผ่านไป มันร้องเตือน

อาลัยรัก ที่หักพัง กับสายฝน
ที่ผ่านมา ยอมทน ผ่านลมหนาว
ดั่งอยู่เหว หลังจาก หล่นจากดาว
ความปวดร้าว ว่างเปล่า ก้าวมาเยือน

พอเถอะรัก ครั้งนี้ ขอให้สิ้น
จงหมดกลิ่น ความหวาน และขมขื่น
จงหมดความ ปรารถนา จะยอมคืน
และยอมฝืน เดินจาก ไปด้วยดี

ขอให้เรา เป็นดั่ง ความฝันร้าย
ขอให้ฉัน ลืมเธอง่าย เหมือนตอนรัก
ขอให้หมด ผลบุญ พบประจักษ์
ขอฝากกลอน คนเคยรัก สาส์นแด่เธอ...

วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2554

Hot news Issue (---Paewa---)

จากประเด็น เด็กสาวตีนผีซิ่งซีวิคพุ่งชนรถตู้ (คร่าผู้โดยสาร 9 ศพ)

แพรวา..เธอเป็นเด็กสาวที่โตมาจากอิทธิพลสังคมตะวันตก เลยไม่เข้าใจว่าทำไมสังคมไทยถึงต้องกดดันและประณามเธอถึงขนาดนี้ เธอชินกับการมีอิสระเสรี จะทำอะไรก็ได้ไม่แคร์สื่อ ขอให้เอาตัวเองรอดเป็นยอดดี แพรวาอาจจะกำลังคิดว่า..ชีวิตเป็นของฉัน ทุกคนไม่ต้องมายุ่งกับฉันได้ไหม มันก็แค่อุบัติเหตุ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าใคร ฉันไม่รู้ ฉันไม่ผิด พ่อแม่จะดูแลและจัดการปัญหาทุกอย่างเอง ฉันจะพูดและกระทำตามที่พ่อแม่และทนายบอกเท่านั้น ทำไมต้องกดดันฉัน คนไทยอะไรนักหนา ทำไมต้องต่อว่าและประณามถึงตระกูลของฉันด้วย..

ปีนี้แพรวาก้าวเข้าสู่อายุ 17 แต่ก็ยังเด็กอยู่ดี เด็กก็คือเด็ก จะ 16 17 18 ก็ยังเด็กในความคิด ถึงเธอจะมีความรู้ จะเรียนเก่ง จะสามารถเอาตัวรอดได้ดีในวัฒนธรรมหรือสังคมตะวันตก จะมีพ่อแม่และชาติตระกูลที่ดี.. แต่อยากให้เด็กผู้หญิงคนนี้ตระหนักเหลือเกินว่า ที่นี่สังคมไทย! ควรจะยอมรับในกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนด เมืองไทยมีกฎหมาย ผิดว่ากันตามผิด พ่อแม่ช่วยเธอไม่ได้ทุกอย่าง พ่อแม่และทนายของเธออาจจะช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความผิดทางกฎหมายได้ แต่สิ่งที่เธอควรตระหนักอย่างยิ่งคือ "สัจธรรมและคุณธรรม"

สังคมไทยชอบประณามและซ้ำเติม.. มันก็คือสัจธรรมของสังคมไทยอย่างหนึ่ง แต่สิ่งที่ทุกคนประณามและซ้ำเติมเธอ เพื่อให้เธอรู้ตัว สำนึกตัว และรับผิดชอบต่อทุกการกระทำ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม.. มันคือสิ่งที่คนในสังคมไทยส่วนใหญ่คาดหวังจากเธอ เธอต้องยอมรับในสัจธรรมของสังคมไทยข้อนี้ ถ้าเธอเป็นคนไทย ถือสัญชาติไทย (ปลงซะ!)

ส่วนคุณธรรมนั้นมันอยู่เหนือหรืออยู่สูงกว่ากฎหมาย เธอจะหาทนายเก่งๆ หรือทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้เธอรอดพ้นจากกฎหมายหรือพยายามทำให้ได้รับโทษน้อยที่สุด เธอมีสิทธิ์ที่จะทำได้ถ้าเธอเจอช่องโหว่ของกฎหมาย แต่ถ้าเธอยึดกฎหมายเป็นที่ตั้ง.. เธอก็ทำตามที่ทนายหรือพ่อแม่เธอสั่ง แต่ถ้าเธอยึดถือคุณธรรมที่อยู่เหนือกว่ากฎหมายเป็นที่ตั้ง.. เธอควรออกมากล่าวขอโทษด้วยตนเองจากจิตใต้สำนึก ไม่ต้องเร่เอาเงินไปฟาดหัวครอบครัวที่สูญเสียชีวิต บางครอบครัวอาจไม่ได้ต้องการเงินของเธอเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ น้ำใจของเธอ พวกเขาอาจต้องการเพียงคำขอโทษจากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้สำนึก มีสามัญสำนึก เพราะทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่ามันคือ "อุบัติเหตุ" และทุกคนที่สูญเสียคนรักกำลังพยายามทำใจต่อการสูญเสีย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง.. ดังนั้นเธอควรเข้าไปพบหรือโทรไปหาครอบครัวของเขาด้วยตนเอง (ถ้ากลัวโดนกระทืบก็โทรไปดีกว่า แล้วส่งพวงหรีดไปแสดงความเสียใจกับทุกครอบครัวด้วยตนเอง) ไม่ควรให้พ่อแม่ไปก้มกราบใครต่อใคร พูดทุกอย่างที่เป็นความจริงจากใจจริงต่อหน้าครอบครัวผู้สูญเสียด้วยตัวเธอเอง ด้วยเสียงของเธอเอง โดยปราศจากคำแนะนำของทนาย เธอควรยอมรับว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันมาจากความประมาทและความไม่เคารพกฏหมายของบ้านเมือง อย่ากล่าวโทษผู้อื่น อย่าเบี่ยงบ่ายว่าตัวเธอได้รับบาดเจ็บเช่นกัน อย่าสร้างภาพว่าตัวเองก็เจ็บปวด..(ความรู้สึกของเธอมันเทียบไม่ได้กับผู้ที่สูญเสียคนที่รัก) ควรกล่าวขอโทษและขอขมาต่อครอบครัวของผู้สูญเสีย สำนึกเอาไว้ให้มั่นว่าสิ่งที่สูญเสียคือชีวิตมนุษย์ 9 ชีวิตที่มีค่าอย่างยิ่งต่อสังคมไทย อย่าพยายามทำตัวเด็กและเบี่ยงประเด็นว่า "เอาชีวิตหนูไปเลยไหม?" ถึงเธอตายไปมันก็ไม่คุ้มค่า.. 9 ชีวิตก็ไม่มีทางฟื้นขึ้นมา..

จงยอมรับและหาทางแก้ไขในทางที่ดีที่ถูกต้องสำหรับเหตุการณ์นี้ให้เร็วที่สุด แต่นี่..เธอปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาขนาดนี้ จนฌาปนกิจไปหลายศพแล้ว.. เธอเพิ่งจะโผล่ออกมา ทยอยพูดประโยคฝืดๆ ที่เหมือนได้รับการถ่ายทอดมาจากทนาย เบี่ยงประเด็น พูดตามสคริปที่ทนายสั่ง เพื่อไม่ให้เสียรูปคดี.. นี่มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเธอและครอบครัวเลือกที่จะยึดผู้ช่วยในทางกฎหมายมากกว่าที่จะมีสามัญสำนึกในทางคุณธรรมด้วยตนเอง กล้าทำ กล้าขับ กล้าซิ่ง ก็ควรจะกล้ารับผิดชอบ.. เพราะฉะนั้นอย่าได้โมโหโกรธเคืองสังคมไทยที่จับจ้องพฤติกรรมของเธอและครอบครัวอยู่ในขณะนี้อีกเลย การโดนรุมด่าหยามเหยียดมันเป็นเพียงแค่ข้อความที่แทบจะไม่มีค่าเลย ถ้าเธอไม่ได้อ่านมันเอง เธอจะไม่มีวันรู้ถึงความรู้สึกของคนในสังคมไทยมีต่อเธอ.. ทำใจยอมรับชะตากรรมที่เธอเลือกเดินเสียเถอะแพรวา เธอจะหนีไปที่ไหนก็ได้ เพราะวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไป ก็คงจะไม่มีใครในสังคมนี้จำชื่อเธอได้ นอกเสียจากครอบครัวผู้ที่สูญเสียคนที่รักไป จงจำไว้ว่า พวกเขาเหล่านั้นจะจำชื่อของเธอและการกระทำของเธอและครอบครัว (หมายถึง พ่อแม่ ผู้ปกป้อง ไม่ได้หมายรวมถึงทั้งตระกูล) ไปตลอดกาล เพราะเธอได้หลบหลีกสิ่งที่ควรพึงกระทำ กว่าเธอและครอบครัวจะรู้ตัวว่าควรต้องทำอย่างไรให้เหตุการณ์มันดีขึ้น มันก็สายไปเสียแล้ว.. เห็นไหมว่าตอนนี้เธอและครอบครัวได้รับแต่คำด่าทอ ประณามหยามเหยียด และคำสาปแช่งอย่างไม่หยุดหย่อน..

กฎหมายอาจจะเอาผิดเธอไม่ได้มาก แต่เวรกรรมมันสนองเธอแน่ ถ้าเธอและครอบครัวยังไม่รู้ว่าสามัญสำนึกและคุณธรรมคืออะไร

แพรวา.. รูปร่างหน้าตาดูเป็นสาวสวย ฉลาดและกล้าแกร่ง แต่ก็ยังเด็กเกินไป เด็กมากที่จะเผชิญปัญหานี้เพียงลำพัง ครอบครัวของเธอคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยชี้แนะไปในทางที่ถูกต้องโดยยึดถือคุณธรรมให้มากกว่ากฎหมาย

ตระกูล หรือ สกุล เทพหัสดิน ณ อยุธยา ไม่ได้มีความผิด ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับเหตุการณืนี้ มันเป็นกรณีของบุคคลและครอบครัวของบุคคลนั้นๆ ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่ประณามเธอและครอบครัวจนลามไปถึงตระกูลไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินไปถึงขนาดนั้น แต่ความมุ่งหวังที่สังคมไทยไม่ว่าจะทางสื่อใดๆ หรือทางอินเตอร์เน็ตก็ตาม ทุกคนต่างกำลังจับจ้องและอยากให้เด็กผู้หญิงที่มีส่วนที่ทำให้เกิดการสูญเสียโดยไม่ได้ตั้งใจในครั้งนี้ มีจิตใต้สำนึกหรือมีสามัญสำนึกที่ดี มีคุณธรรม มีน้ำใจ ออกมาแสดงความรับผิดชอบอย่างตรงไปตรงมา บางทีเธออาจได้รับคำชมและกำลังใจจากคนในสังคม ถ้าเธอเป็นเด็กสาวที่มีจิตสำนึกและมีคุณธรรมที่ดีได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่แค่เพียงตัวเด็กเท่านั้น แต่ครอบครัวหรือผู้ปกครองของเด็กด้วย ควรยึดถือคุณธรรมมากกว่ากฏหมาย "คุณธรรมเท่านั้นที่อยู่เหนือกฎหมายได้ บางสิ่งถูกกฎหมายแต่ไม่ทำ นี่แหละที่เรียกว่า มีคุณธรรม"

เราทุกคนในสังคมนี้ก็ควรมีคุณธรรมกันด้วยนะคะ อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลมากเกินไป ฝากไว้ด้วย.. ดิฉันเองก็เป็นผู้หญิง อายุกำลังจะก้าวเข้าสู่ 23 ในปีนี้ แต่ดิฉันก็ยังคิดว่าตัวเองก็ยังเป็นเด็กอยู่เหมือนกันในหลายๆเรื่อง ดิฉันยอมรับว่าเคยด่าทอเด็กสาวผู้นี้และครอบครัวผ่านโลกไซเบอร์ ที่ทำไปนั้นเพราะด้วยอารมณ์ (ขนาดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดยังอารมณ์ขึ้นขนาดนั้น!!) แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่า แพรวาเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง พ่อแม่คือเกราะป้องกัน พ่อแม่เท่านั้นที่จะช่วยลูกได้.. ถ้าเป็นลูกสาวของฉัน ฉันก็คงไม่ปล่อยให้ลูกสาวเสียชื่อเสียงและเดินเข้าคุก รับชะตากรรมเพียงลำพัง แต่ฉันจะไม่ปกป้องลูกสาวด้วยการไปกราบเท้าขอโทษใครต่อใครแทนลูกอย่างแน่นอน ผิดต้องยอมรับผิดด้วยตนเอง ทำผิดต้องขอโทษ ต้องรับผิดชอบ ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่หลีกเลี่ยง หลบหน้าเบี่ยงบ่ายประเด็น ต้องให้ลูกแสดงสิ่งที่ควรพึงกระทำด้วยตนเอง รู้สำนึกด้วยตนเอง ส่วนเรื่องจะช่วยให้ลูกได้รับโทษหนักเบาเพียงใดนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนรวย ไม่จำเป็นต้องอยู่ในตระกูลสูงศักดิ์ พ่อแม่ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน..ล้วนต้องต่อสู้เพื่อช่วยลูกซึ่งเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอย่างแน่นอน

สุดท้าย ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่สูญเสียคนที่รักด้วยค่ะ ขอให้ทั้ง 9 ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ และขอให้แพรวาพร้อมครอบครัวของเธอทำในสิ่งที่ถูกต้องต่อไป

ปล. ข้อความนี้อาจไม่สบอารมณ์ใครบางคน ก็ขออภัยมาด้วยค่ะ ดิฉันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทั้ง 2 ฝ่าย เพียงแค่มันเป็น HOT ISSUE ที่มีกระแสต่อสังคมไทยมากเหลือเกิน ใครที่เสียเวลาอ่านข้อความนี้จะจบหรือไม่จบก็ขอบคุณค่ะ แค่หวังไว้ว่าทุกคนจะเกิดความคิดใหม่ๆ กันขึ้นมาบ้าง จะได้ช่วยสังคมไทยต่อไป อย่าใช้แต่สิทธิที่ตนเองมีจนลืมหน้าที่ที่ควรพึงกระทำ.. ลาก่อน ปีเสือดุ

สวัสดีปีกระต่าย 2554 (Happy New Year 2011)