วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไม่ได้เรียกร้องหาความเข้าใจ..เพียงแต่ขอแค่ความจริงใจ

เวลาที่มันผ่านไปแต่ละวัน นับวัน ดูเหมือนมันจะเร็วยิ่งกว่าเครื่องบิน อะไรๆที่มันเคยตกผนึกอยู่ในจิตใจ เคยหลงเหลือไว้เพื่อหล่อเลี้ยงความรู้สึกดีๆ นับวันยิ่งเหือดแห้งลงไปทุกที ยิ่งไม่มีอะไรมาเพิ่มเติม ความว่างเปล่ามันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น หันเหลียวมองสิ่งรอบตัว คนรอบตัว ก็ดูแต่ละคนมีความสุขกับโลกของตนเองดี เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจของพวกเขาคงมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยสุขและทุกข์เหมือนกับเรา มันคงไม่แปลกที่ชั้นจะมีอารมณ์นั้นเหมือนกับคนอื่น บางทีโคตรอยากตะโกนออกไปดังๆท่ามกลางผู้คนวุ่นวาย ณ ที่นี้ว่า .. "กูแม่งโคตรเบื่อเสยว่ะสัส กูแม่งอยากจะไปไกลๆเลยว่ะเหี้ย" เหมือนชั้นตามหาอะไรบางอย่าง แต่บางอย่างที่ว่าคงไม่ใช่คนแน่นอน ชั้นไม่อยากจะหวังพึ่งใคร ไม่อยากจะฝากชีวิตไว้กับใคร เพราะที่ผ่านมามันก็เหนื่อยและท้อเต็มที ยิ่งโตยิ่งรู้ว่าสิ่งที่ต้องการในโลกความเป็นจริงมันมีอะไรมากกว่าคนๆนึงที่ใครหลายคนพยายามยกย่องให้มันเป็นเรื่องสุดยอดของชีวิต แต่สำหรับชั้นมังคงเป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งในชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง.. ชั้นตระหนักอยู่เสมอ และเมื่อเวลาเจอปัญหาที่มักมาจากผู้คนที่ทำให้เกิดอาการอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "ผิดหวัง" ชั้นจะบอกตัวเองเสมอว่า "เราเกิดมาคนเดียว เราก็ตายคนเดียว อย่าไปให้ความหวัง อย่าไปยึดติด" ทุกวันนี้จึงเสมือนว่าสิ่งที่ตามหาจึงเป็นเพียง "คุณภาพชีวิตที่ดี หรือชีวิตที่มีคุณภาพ" ซึ่งหน้าตาของมันเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มันเป็นสิ่งที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวตน อยู่ไกล.. แต่ชั้นก็เรียกร้องและกำลังตามหามันอยู่ตลอดเวลา ในความรู้สึกของชั้นมันเป็นเหมือนชีวิตที่มั่นคงและให้ความมั่นใจต่อตนเองและครอบครัว อาจจะไม่ใช่แค่มีเงิน มีงาน.. แต่ทุกอย่างของคำว่าชีวิตที่มีคุณภาพมันจะต้องดำเนินไปด้วยความรัก ความเต็มใจที่จะอยู่ เต็มใจที่จะทำ เต็มใจและภูมิใจเท่านั้น.. ไม่รู้ว่าวันไหนชั้นจะได้เจอมันสักที.. กว่าจะเจอวันนั้นชั้นอาจกลายเป็นยายแก่ทึนทึกนั่งบวชชีอยู่ในวัดก็ได้ เหมือนเจอความสงบของชีวิต.. เคยรู้สึกไหมว่า เวลาเราเข้าวัด ซึ่งอาจจะเป็นบางวัด เมื่อเราเดินเข้าไปรู้สึกว่ามันเย็นไปหมด ร่มเย็นจนแทบไม่อยากจะเดินออกมาจากวัดนั้น แต่บางวัดก็รู้สึกเฉยๆ บางวัดกลับรู้สึกร้อน เหมือนชั้นจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี มันเหมือนกับว่า วัดไหนเกิดจากจิตศรัทธา เกิดจากความเอื้ออำนวยจากชาวพุทธด้วยใจจริง วัดนั้นจะแฝงไปด้วยบรรยาศที่ร่มเย็น แต่หากวัดไหนที่รก ร้าง ร้อน และว่างเปล่า วัดนั้นอาจเต็มไปด้วยปัญหาและแฝงไปด้วยความชังของจิตใจคน ซึ่งบางครั้งความศรัทธาเท่านั้นที่จะทำให้เรารู้ว่าจะเดินเข้าวัดไหน.. เรื่องราวหลายๆอย่างมันทำให้ชั้นเข้าใจว่าคนหรือมนุษย์เป็นสัตว์ที่น่ากลัวที่สุด น่ากลัวกว่างู โหดร้ายกว่าเสือ ทำร้ายทารุณยิ่งกว่าจระเข้.. น่ากลัวจนทำให้ชั้นอยากจะเข้าวัดเลยทีเดียว มันน่าขำ! ตอนเด็กเคยฟังวิทยุในรถ มีพระท่านหนึ่งเทศน์ว่า "หากคนบนโลกถือศีลเพียงข้อเดียวคงจะดี นั่นก็คือ การรักผู้อื่น" ฟังดูง่ายนะ ศีลข้อเดียวเอง ถ้าทำได้คงเกิดประโยชน์มหาศาล เพราะถ้าเรารักผู้อื่น เราคงไม่มีวันทำในสิ่งที่ผิดพลาด เราคงไม่ทำอะไรให้เกิดความขุ่นเคืองทั้งทางกาย วาจา ใจ สมมติถ้าเรามีศัตรูแต่เราถือศีลว่ารักผู้อื่น เราก็จะไม่อาฆาตเขา วันนึงศัตรูคงเปลี่ยนเป็นมิตรได้ และถ้าเราอยากจะฆ่าสัตว์แต่เราถือศีลรักผู้อื่น เราก็จะไม่ฆ่ามันเพราะเรารักมัน.. แต่.. ใครแม่งจะทำได้วะ เฮ้อ..คิดแล้วก็เพลีย!! โลกนี้มันน่ากลัวเพราะคนนี่แหละ ปัญหาทุกอย่างมันมาจากคน สุดท้ายก็แค่อยากจะบอกใครที่เป็นคนว่า "พวกมึงไม่ต้องเข้าใจหรือทำเป็นเข้าใจเหี้ยไรมากนักหรอก แค่อยู่แบบจริงใจแม่งก็คงพอแล้ว ทำเหี้ยไรด้วยความจริงใจต่อกันอ่ะ ไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องตอแหลต่อกันก็พอ" ----- คำว่ารักมันคงไม่มีความหมายถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ

2 ความคิดเห็น:

  1. เอ๊ะ?!!.. แกนี้ ไปโกรธใครมาว่ะ เหมือนกินรังแตนมา.. น่ากลัวว่ะ เหอๆ (゚ロ゚;)

    ตอบลบ
  2. โกรธตรงไหน โกรธใคร ก็แค่บ่นไปตามสิ่งที่พบเจอเรื่อยเปื่อยว่ะ...

    ตอบลบ